โดยต่อไปนี้คือที่มาของเครื่องฟอกอากาศ สินค้ายอดนิยมที่สุดแห่งยุค First Taobao รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

ยุคเริ่มต้นของเครื่องฟอกอากาศ-ต้นศวรรษที่ 18

เมื่อย้อนกลับไปสมัยศตวรรษที่ 18 ในเวลานั้น เศรษฐกิจของโรงงานกำลังเฟื่องฟูเป็นอย่างมากโดยเฉพาะโรงงานถ่านหิน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงานเชื้อเพลิงไฟฟ้า ซึ่งใช้สำหรับการขนส่งทางรถไฟและเครื่องจักรกลอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การใช้ถ่านหินมีข้อดีและข้อเสียที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศที่รุนแรง การเผาไหม้ของถ่านหิน ทำให้เกิดมีกลิ่นและควัน ดังนั้น ประชาชนจึงได้รับผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ

นักวิทยาศาสตร์จึงค้นค้นหาวิธีผลิตอากาศที่บริสุทธิ์และปลอดภัย จนนำไปสู่เครื่องฟอกอากาศอันทันสมัย และต่อไปนี้คือสิ่งที่แสดงถึงความสำเร็จของการประดิษฐ์เครื่องฟอกอากาศจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 19

การค้นพบที่ยิ่งใหญ่อันเป็นจุดกำเนิดของเครื่องกรอง/ฟอกอากาศเกิดขึ้นในปี 1823 เมื่อสองนักประดิษฐ์พี่น้องนามว่า John Deane และ Charles Deane คิดค้นระบบฟอกอากาศ จนนำไปสู่สิ่งประดิษฐ์หรือตัวช่วยในการดับเพลิง ที่เรียกว่า ‘หมวกกันควัน’ (Smoke Helmet) สำหรับให้นักดับเพลิงใช้ในพื้นที่มีควันไฟ และได้จดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์นี้ขึ้น ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของหมวกกันควันสีส้มที่นักดับเพลิงใช้ลงพื้นที่ในการดับไฟ

ในปี 1854 John Stenhouse นักเคมีชาวสก๊อตแลนด์ ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงระบบฟอกอากาศโดยใส่แผ่นกรองคาร์บอนเข้าไปด้านในเพื่อกรองสารเคมีและก๊าซพิษ John ได้ประดิษฐ์แผ่นกรองคาร์บอนเพื่อช่วยให้ผู้คนได้หายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เพื่อใช้งานส่วนบุคคล

พัฒนาการของเครื่องฟอกอากาศสำหรับที่พักอาศัย-ศตวรรษที่ 20

หนึ่งในความสำเร็จของศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อปี 1940 นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นแผ่นกรองอากาศคุณภาพสูงหรือที่เรียกว่า HEPA (High-Efficiency Particulate Air Filter) ซึ่งทำมาจากเส้นใยไฟเบอร์กลาสที่ถักทอจนมีขนาดเล็กมากและมีความสามารถในการกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋ว นิยมนำไปใช้กับทหารและนักวิจัยเพื่อป้องกันการหายใจรับเอารังสีในห้องแล็บ

แผ่นกรองอาการ HEPA ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการกำจัดฝุ่นละอองและสารเคมีที่มีอณูเล็ก มันช่วยกรองมลพิษทางอากาศที่มองเห็นผ่านกล้องจุลทรรศน์ เช่น ละอองเกสร หมัดไรในสัตว์เลี้ยง อนุภาคควันและมลพิษทางอากาศที่มีโมเลกุลเล็กมาก

ในปี 1963 Manfred และ Klaus Hammes ได้ประดิษฐ์ระบบกรองอาการสำหรับใช้ในบ้านเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากสำหรับบ้านพักอาศัยในเยอรมนี และในปีเดียวกันนั้น สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย Clean Air Act หรือกฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ เพื่อลดและควบคุมมลพิษทางอากาศ โดยมีหลายประเทศได้ตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้น อาทิ Clean Air Act 1956 ในสหราชอาณาจักรม Clean Air Act 1963 ในสหรัฐอเมริกา Clean Air Act  ในสิงคโปร์ 1971 Clean Air Act 1972 ในนิวซีแลนด์ และ Canadian Environment Protection Act 1999 เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แผ่นกรองอาหาร HEPA ในยุคนั้นไม่เป็นที่นิยมใช้ในบ้าน เนื่องจากมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและราคาไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ กระทั่งหลายปีต่อมา HEPA ถูกปรับปรุงให้สามารถใช้ในบ้านได้อย่างเหมาะสม โดย HEPA เวอร์ชั่นใหม่ มีน้ำหนักเบาและสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้นทั้งในวงการทหาร โรงพยาบาลและห้องแล็บ ในปี 1980 มีค่ามาตรฐานหรือ Clean Air Delivery Rate (CADR) เป็นอัตราการนำส่งอากาศที่ฟอกแล้ว ซึ่งเป็นการวัดปริมาณอากาศที่สะอาด 100% ที่ได้จากเครื่องฟอกอากาศ โดย CADR เป็นค่ามาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาจากองค์กรที่กำหนดมาตรฐานคุณภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านหรือ AHAM (Association of Home Appliance Manufactures) ซึ่งได้รับความเชื่อถือและการยอมรับจากบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านชั้นนำหลายประเทศ

ยุคพัฒนาแล้ว-ศตวรรษที่ 21

ความพยายามล่าสุดในการพัฒนาเครื่องฟอกอากาศ เช่น พัฒนาเครื่องฟอกอากาศที่แก้ปัญหาความไวต่อสารเคมีหลายชนิด โดยเครื่องฟอกอากาศแบบใหม่ ใช้แนวคิดการกรองอากาศหลายครั้ง มีประสิทธิภาพในการดักจับมลพิษ สารก่อภูมิแพ้และก๊าซ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยโรคหอบหืดได้อย่างดีเยี่ยม

เครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่มีระบบเซ็นเซอร์ในการทำงานโดยอัตโนมัติตามคุณภาพอากาศโดยรอบ บางเครื่องใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะและควบคุมได้จากโทรศัพท์มือถือ ผู้สนใจสามารถค้นหาสินค้าเครื่องฟอกอากาศได้ ที่นี่ พบกับสินค้าใหม่ๆ ได้จาก Taobao